พวกเราส่วนใหญ่คงเคยได้ยินคำว่า “อย่าใส่ไข่ทุกฟองในตะกร้าใบเดียว” สรุปคือ วลีนี้เตือนเราว่าอย่าลงทุนด้วยเงินทุนทั้งหมดในการเทรด ตลาดหรือผลิตภัณฑ์เดียวเพราะเราอาจสูญเสียเงินทั้งหมด การลงทุนในสินทรัพย์ใดอย่างมากและพึ่งพามันสำหรับประสบการณ์การเทรดอาจเสี่ยงมากเกินไปแบบเดียวกับที่ไข่ทุกฟองจะแตกหากตะกร้าตกพื้น
ดังนั้น เป็นแนวปฏิบัติที่ดีในการพิจารณาการกระจายความเสี่ยงโดยการลงทุนในฐานะ ตราสารและกลุ่มสินทรัพย์ต่าง ๆ
พอร์ตการลงทุนที่สมดุลมีความสำคัญอย่างยิ่งในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือช่วงเวลาที่มีความผันผวนสูง นี่คือคู่มือเพื่อทำความเข้าใจการกระจายความเสี่ยงและวิธีที่คุณสามารถใช้ให้เป็นประโยชน์
ประเด็นสำคัญ
- การหมุนเวียนในการลงทุนเกี่ยวข้องกับการกระจายความเสี่ยงโดยการลงทุนในหลายคลาสสินทรัพย์ ภาคธุรกิจ และภูมิภาคต่าง ๆ เพื่อทำให้มีความสมดุลในความเสี่ยงรวมในพอร์ตการลงทุนและเป็นไปได้ที่จะเพิ่มผลตอบแทนในระยะยาว
- ประโยชน์ของพอร์ตการลงทุนที่หมุนเวียนรวมถึงการลดความเสี่ยงจากการสูญเสียสำคัญจากการลงทุนเดียว การบรรเทาผลกระทบจากเหตุการณ์ทางภูมิภาค และเพิ่มความสามารถในการปรับตัวเมื่อตลาดเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม การหมุนเวียนอาจจะ ลดความสามารถในการรับผลตอบแทนสูง และเพิ่มความซับซ้อนในการจัดการพอร์ต
- ในการหมุนเวียนอย่างมีประสิทธิภาพ นักลงทุนควรพิจารณาวัตถุประสงค์ในการลงทุนของตน เลือกแบ่งส่วนสินทรัพย์ที่เหมาะสม และพิจารณาระยะเวลาการลงทุนของตน สมดุลที่เหมาะสมระหว่างการหมุนเวียนและการรวมรวมเป็นสิ่งสำคัญในการจัดการพอร์ตที่สามารถจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพและง่ายดาย
การกระจายความเสี่ยงคืออะไร
การกระจายความเสี่ยงคือการบริหารความเสี่ยงรูปแบบหนึ่ง นักลงทุนที่กระจายความเสี่ยงจะเป็นบุคคลที่เลือกลงทุนในหลากกลุ่มสินทรัพย์, กลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ และมีฐานะการลงทุนในหลายภูมิภาค ธีมระยะสั้นและระยะยาวยังสามารถใช้การกระจายความเสี่ยง แต่เป้าหมายสำคัญที่สุดคือการกระจายความเสี่ยงของตลาดในตะกร้าต่าง ๆ
พอร์ตการลงทุนที่สมดุลจะมีลักษณะคล้ายกับภาพรวมความเสี่ยงที่สมดุลที่มีเป้าหมายในการเอาชนะเงินเฟ้อและมอบผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอในระยะยาว โดยการถือครองหลากกลุ่มสินทรัพย์ที่อาจเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามภายใต้ภาวะตลาดที่เจาะจง พอร์ตที่กระจายความเสี่ยงทำงานร่วมกันเพื่อลดความเสี่ยงสูญเสียเงินลงทุนก้อนโตและลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาด
ประโยชน์ของการกระจายความเสี่ยงพอร์ต
1. พอร์ตที่กระจายความเสี่ยงสามารถมอบประโยชน์ดังต่อไปนี้
โดยการกระจายการลงทุนของคุณในหลากกลุ่มสินทรัพย์ เช่น หุ้น, พันธบัตร, สินค้าโภคภัณฑ์และกระทั่งเงินสด คุณสามารถช่วยปกป้องพอร์ตจากความผันผวนอย่างรุนแรงของตลาด ซึ่งเป็นเพราะกลุ่มสินทรัพย์ที่แตกต่างกันมักจะเคลื่อนไหวแตกต่างกันในภาวะตลาดที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น อัตราดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นอาจทำตลาดหุ้นเป็นขาลง ขณะที่สินค้าโภคภัณฑ์อย่างทองคำและน้ำมันอาจสร้างผลตอบแทนดีกว่าตลาด
การกระจายความเสี่ยงทำให้มั่นใจว่าคุณไม่ได้มีฐานะการลงทุนมากเกินไปในบริษัทหรือกลุ่มสินทรัพย์ที่ประสบกับการชะลอตัวอย่างรุนแรง ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงพอร์ตของคุณ
2.ลดผลกระทบจากเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบเชิงภูมิรัฐศาสตร์
เหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบเชิงภูมิรัฐศาสตร์ (เช่น สงครามหรือวิกฤตการเมือง) อาจกระทบตลาดการเงินอย่างมีนัยสำคัญ ตัวอย่างเช่น ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2565 เราได้เห็นรัสเซียยุติการส่งก๊าซให้กับยุโรปเพื่อตอบโต้มาตรการคว่ำบาตรจากตะวันตก ผลลัพธ์คือ ราคาก๊าซธรรมชาติพุ่งสูงขึ้นถึง 120-130% ในหกเดือนแรกนับตั้งแต่สงครามอุบัติขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมว่าเหตุการณ์ตลาดสำคัญเหล่านี้เปลี่ยนแปลงตลาดอย่างไรในปี 2566 ที่นี่
โดยการกระจายความเสี่ยงในกลุ่มสินทรัพย์และตลาดต่าง ๆ คุณยังสามารถพยายามลดผลกระทบจากเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบเชิงภูมิศาสตร์บนพอร์ตการลงทุนของคุณ ตัวอย่างเช่น ในยามที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน นักลงทุนอาจหันไปลงทุนสินทรัพย์อย่างทองคำหรือพันธบัตรรัฐบาลที่ได้รับการคาดหวังว่าคงมูลค่าหรือเพิ่มมูลค่าในยามตลาดผันผวน
3. ความยืดหยุ่นและความสามารถในการเปลี่ยนแปลง
พอร์ตที่กระจายความเสี่ยงมอบความยืดหยุ่นและความสามารถในการเปลี่ยนแปลงต่อภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป หากกลุ่มสินทรัพย์หนึ่งทำผลงานได้ไม่ดี คุณอาจปรับสัดส่วนพอร์ตของคุณโดยการเปลี่ยนมาลงทุนในอีกกลุ่มสินทรัพย์ที่ทำผลงานได้ดี ซึ่งทำให้คุณสามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสของตลาดและลดความเสี่ยง
ตัวอย่างเช่น หากพอร์ตการลงทุนประกอบด้วยหุ้น 30% พันธบัตร 30% สินค้าโภคภัณฑ์ 30% และเงินสด 10% คุณอาจไม่ได้เสี่ยงมากนักเมื่อตลาดหุ้นปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง แต่หากคุณจัดสรรการลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้น ผลลัพธ์ที่ได้อาจจะเป็นหายนะในยามตลาดหุ้นตกต่ำ ในกรณีนี้ การลงทุนในพันธบัตร สินค้าโภคภัณฑ์และตลาดเงินของคุณอาจช่วยคงความยืดหยุ่นและความสามารถในการเปลี่ยนแปลงของพอร์ตการลงทุน เพราะคุณสามารถกลับมาลงทุนอีกครั้งภายใต้ภาวะตลาดที่ดีกว่า
ข้อควรระวังของการกระจายความเสี่ยง
ถึงแม้การกระจายความเสี่ยงมอบประโยชน์มากมายแก่พอร์ตการลงทุน แต่ก็มีข้อควรระวังที่คุณควรทราบ
1. ซับซ้อนยิ่งขึ้น
การกระจายความเสี่ยงพอร์ตอาจต้องใช้ความพยายามอย่างมาก การเปิดหลายฐานะในกลุ่มสินทรัพย์ต่าง ๆ จะต้องอาศัยการติดตามและการปรับสัดส่วนพอร์ตบ่อยครั้ง ซึ่งอาจเพิ่มความซับซ้อนในการรักษาพอร์ตที่กระจายความเสี่ยง ในการรักษาพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสม นักลงทุนต้องรับผลตอบแทนที่อาจเกิดขึ้นเมื่อถึงราคาเป้าหมายหรือปิดฐานะในเวลาที่กำหนด เพื่อบริหารภาพรวมความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตและหลีกเลี่ยงผลขาดทุนอย่างมีนัยสำคัญ
วิธีหนึ่งที่หลีกเลี่ยงความซับซ้อนคือพิจารณาลงทุนในกองทุน ETF – กองทุนที่ซื้อขายในตลาดการเงินที่ติดตามดัชนี – ทำให้คุณมีฐานะการลงทุนกว้างขวางขึ้นในการซื้อเพียงผลิตภัณฑ์เดียว ตอนนี้คุณสามารถเทรด CFD ETF บน Vantage
2. ผลตอบแทนที่อาจเกิดขึ้นต่ำลง
ขณะที่การกระจายความเสี่ยงสามารถช่วยบริหารความเสี่ยงและลดความผันผวน แต่ก็จำกัดผลตอบแทนที่อาจเกิดขึ้นเช่นกัน โดยการกระจายการลงทุนในหลายกลุ่มสินทรัพย์ การบรรลุผลตอบแทนที่อาจเกิดขึ้นจะเป็นเรื่องยากยิ่งขึ้น
3. การกระจายความเสี่ยงมากเกินไป
ความเสี่ยงจากการกระจายความเสี่ยงมากเกินไปเกิดขึ้นเมื่อพอร์ตกระจายการลงทุนในหลายสินทรัพย์มากเกินไป และทำให้ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการกระจายความเสี่ยงหมดไป ซึ่งสามารถนำไปสู่ผลลัพธ์การลงทุนที่ย่ำแย่ เพราะคุณอาจไม่มีข้อมูลหรือความเชี่ยวชาญที่เพียงพอในการบริหารสินทรัพย์จำนวนมากอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น การสร้างสมดุลระหว่างการกระจายความเสี่ยงและการลงทุนสินทรัพย์จำนวนไม่มากเป็นเรื่องสำคัญ และเพื่อรับประกันว่าพอร์ตการลงทุนจะยังสามารถบริหารได้และมีประสิทธิภาพ
วิธีกระจายความเสี่ยงพอร์ตการลงทุนของคุณ
การนำการกระจายความเสี่ยงมาใช้ในพอร์ตของคุณมีหลากหลายวิธี รวมถึงการกระจายความเสี่ยงในบริษัทหรือกลุ่มอุตสาหกรรมที่เจาะจงและกลุ่มสินทรัพย์ นี่คือตัวอย่างบางส่วน
1. กระจายความเสี่ยงในกลุ่มอุตสาหกรรมหรือบริษัทที่เจาะจง
วิธีหนึ่งเพื่อกระจายความเสี่ยงพอร์ตคือการลงทุนในบริษัทต่าง ๆ โดยการทำเช่นนี้ คุณสามารถกระจายความเสี่ยงและอาจลดผลกระทบจากผลการดำเนินงานด้านลบของบริษัทใดบริษัทหนึ่งบนพอร์ตการลงทุนโดยรวม ในอีกทางหนึ่ง คุณยังสามารถลงทุนในบริษัทที่มีขนาดหรือที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจสามารถช่วยให้คุณบรรเทาผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่นหรือภูมิภาคที่อาจกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทที่เจาะจง
ในทางตรงกันข้าม การกระจายความเสี่ยงในกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ เกี่ยวข้องกับการลงทุนในอุตสาหกรรมอื่น ตัวอย่างเช่น คุณอาจเลือกลงทุนอุตสาหกรรมการแพทย์, พลังงานและธุรกิจการเงิน แนวคิดคือเมื่อกลุ่มอุตสาหกรรมหนึ่งทำผลงานย่ำแย่ กลุ่มอุตสาหกรรมอื่น ๆ อาจทำผลงานได้ดี และสามารถชดเชยผลขาดทุนที่เกิดขึ้นจากกลุ่มอุตสาหกรรมที่ทำผลงานย่ำแย่
2. กระจายความเสี่ยงในกลุ่มสินทรัพย์ต่าง ๆ
การกระจายความเสี่ยงในกลุ่มสินทรัพย์ต่าง ๆ เกี่ยวข้องกับการกระจายการลงทุนในเครื่องมือทางการเงินหลากหลายประเภท เช่น หุ้น, พันธบัตร, Forex, สินค้าโภคภัณฑ์และกระทั่งเงินสด
แต่ละกลุ่มสินทรัพย์ต่างมีคุณลักษณะเฉพาะ รวมถึงระดับความเสี่ยงและผลตอบแทนที่อาจเกิดขึ้นแตกต่างกัน โดยการลงทุนในกลุ่มสินทรัพย์ต่าง ๆ คุณอาจลดภาพรวมความเสี่ยงของพอร์ตโดยการปรับสัดส่วนผลตอบแทนและความผันผวนของแต่ละกลุ่มสินทรัพย์
ตัวอย่างเช่น อสังหาริมทรัพย์อาจเป็นส่วนเสริมที่ดีของพอร์ตที่กระจายความเสี่ยง เนื่องจากอสังหาริมทรัพย์มีค่าสหสัมพันธ์กับตลาดหุ้นต่ำ
ปัจจัยที่ควรพิจารณาสำหรับการสร้างพอร์ตที่กระจายความเสี่ยง
เป้าหมายการลงทุน
เมื่อต้องการสร้างพอร์ตการลงทุนที่กระจายความเสี่ยง การทำความเข้าใจเป้าหมายการลงทุนและระดับความเสี่ยงที่ทนได้ของคุณอย่างชัดเจนเป็นเรื่องสำคัญ เป้าหมายการลงทุนของคุณจะขึ้นอยู่สถานการณ์ทางการเงินและอาจรวมถึงเป้าหมายอย่างเช่น การสร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอ บรรลุการเติบโตระยะยาวหรือรักษาระดับความมั่งคั่ง การทำความเข้าใจเป้าหมายการลงทุนสามารถช่วยให้คุณกำหนดสัดส่วนสินทรัพย์คร่าว ๆ สำหรับพอร์ตที่กระจายความเสี่ยงของคุณ
การจัดสรรสินทรัพย์
การจัดสรรสินทรัพย์หมายถึง การกระจายการลงทุนในกลุ่มสินทรัพย์ต่าง ๆ เช่น หุ้น, พันธบัตร, อสังหาริมทรัพย์และสินค้าโภคภัณฑ์ การจัดสรรสินทรัพย์จะขึ้นอยู่กับเป้าหมายการลงทุนและระดับความเสี่ยงที่ทนได้ของคุณ โดยปกติแล้ว พอร์ตที่กระจายความเสี่ยงเป็นอย่างดีจะมีกลุ่มสินทรัพย์ต่าง ๆ ผสมผสานเพื่อสร้างสมดุลระหว่างผลตอบแทนและความเสี่ยงโดยรวม ซึ่งหุ้น, พันธบัตรและอสังหาริมทรัพย์เป็นกลุ่มสินทรัพย์คนละประเภทที่มาพร้อมกับระดับความเสี่ยงและผลตอบแทนที่อาจเกิดขึ้นแตกต่างกัน โดยมักถือว่าหุ้นมีความผันผวนมากกว่าแต่อาจมอบผลตอบแทนมากกว่าในระยะยาว ขณะที่พันธบัตรถือว่ามีความเสี่ยงต่ำกว่าและอาจเสนอผลตอบแทนที่สม่ำเสมอกว่า
ระยะเวลาการลงทุน
ระยะเวลาการลงทุนของคุณคือระยะเวลาที่คุณวางแผนที่จะถือครองการลงทุน ซึ่งจะกระทบต่อประเภทสินทรัพย์ที่คุณควรลงทุน และระดับการกระจายความเสี่ยงเพื่อบรรลุเป้าหมายของคุณ ตัวอย่างเช่น หากคุณมีระยะเวลาการลงทุนที่ยาวนาน คุณอาจสามารถยอมรับความเสี่ยงมากขึ้นและลงทุนในสินทรัพย์ที่มีโอกาสมอบผลตอบแทนมากขึ้นในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม หากคุณมีระยะเวลาการลงทุนที่สั้น คุณอาจต้องการโฟกัสกับการลงทุนที่มอบผลตอบแทนสม่ำเสมอมากกว่า นอกจากนี้ ระยะเวลาการลงทุนของคุณอาจกระทบต่อความถี่ในการปรับสัดส่วนพอร์ตของคุณ หากคุณมีระยะเวลาการลงทุนยาว คุณอาจไม่จำเป็นต้องปรับสัดส่วนพอร์ตของคุณบ่อยเหมือนกับผู้ที่มีระยะเวลาการลงทุนสั้นกว่า เพราะคุณมีเวลามากกว่าที่จะผ่านพ้นความผันผวนระยะสั้นในตลาด
สรุป
โดยรวมแล้ว การกระจายความเสี่ยงคือกลยุทธ์ที่สำคัญสำหรับการสร้างพอร์ตที่กระจายความเสี่ยงและสมดุลที่สามารถป้องกันความผันผวนของตลาดและเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดในระยะยาวได้ดีกว่า โดยการสร้างจุดสมดุลระหว่างการกระจายความเสี่ยงและการลงทุนสินทรัพย์จำนวนไม่มาก คุณสามารถสร้างกลยุทธ์การลงทุนที่มีประสิทธิภาพอันตอบโจทย์เป้าหมายส่วนบุคคลและระดับความเสี่ยงที่ทนได้
หากคุณมองหาช่องทางกระจายความเสี่ยงพอร์ต คุณสามารถเปิดบัญชีเทรดกับ Vantage ด้วยตลาดเทรดหลายประเภท รวมถึง Forex, ETF, หุ้น, สินค้าโภคภัณฑ์, พันธบัตรและ CFD NDF ที่เปิดตัวล่าสุด ทำให้เทรดเดอร์มีตัวเลือกมากมายเพื่อช่วยกระจายความเสี่ยงพอร์ตการซื้อขาย ลงทะเบียนบัญชีซื้อขายจริงกับ Vantage ที่นี่