เมื่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2024 ใกล้เข้ามา ทุกสายตาจับจ้องไปที่เศรษฐกิจของสหรัฐฯ และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อภาคส่วนต่าง ๆ ของสหรัฐฯ ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เนื่องจากมุมมองนโยบายของผู้สมัครแต่ละฝ่ายนั้นมีจุดยืนที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และคาดว่าผู้สมัครแต่ละคนจะยึดมั่นในฐานะตัวแทนสูงสุดของพรรคการเมืองของตน
ขณะนี้การแข่งขันระหว่างอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และรองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส ไม่ส่าใครจะชนะการเลือกตั้ง ต้องมีบางภาคส่วนได้รับประโยชน์ ขณะที่ภาคส่วนอื่น ๆ อาจเผชิญกับอุปสรรค ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับว่าภาคส่วนเหล่านั้นจะเข้ากันกับมุมมองของผู้สมัครแต่ละคนอย่างไร
มาดูกันโดยละเอียดว่านักลงทุนควรจับตาดูภาคส่วนใดบ้าง
ประเด็นสำคัญ
- การเลือกตั้งครั้งก่อน ๆ แสดงให้เห็นการกระจายตัวของภาคส่วนอย่างมีนัยสำคัญ โดยภาคอุตสาหกรรม เช่น ภาคการเงินและพลังงาน จะเห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นอยู่กับผลการเลือกตั้ง
- หากโดนัลด์ ทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง ภาคน้ำมันและก๊าซ และบริการทางการเงินอาจเจริญรุ่งเรือง ในขณะที่ชัยชนะของคามาลา แฮร์ริสอาจส่งเสริมอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดและการดูแลสุขภาพ
- แม้ว่าการเลือกตั้งอาจมีผลกระทบต่อภาคส่วนบางอย่าง แต่ข้อมูลในอดีตแสดงให้เห็นว่าผลกระทบโดยรวมของตลาดนั้นคงอยู่เพียงระยะสั้น จึงแนะนำให้นักลงทุนรักษาพอร์ตการลงทุนให้มีการกระจายความเสี่ยง และหลีกเลี่ยงการวางกลยุทธ์ระยะยาวโดยพิจารณาแต่ผลการเลือกตั้งเพียงอย่างเดียว
การเลือกตั้งในอดีตบอกอะไรเราได้บ้าง? [1]
สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะกระตุ้นให้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “การกระจายตัวของภาคส่วน”
การกระจายตัวของภาคส่วนเป็นคำศัพท์ทางเทคนิคที่อธิบายถึงความแตกต่างของประสิทธิภาพระหว่างสองภาคส่วนหรือมากกว่านั้น เมื่อเทียบกับตลาดโดยรวม ในการเลือกตั้งสองครั้งล่าสุดในปี 2016 และ 2020 มีการสังเกตเห็นการกระจายตัวของภาคส่วนอย่างชัดเจน เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้แนวคิดที่ว่านโยบายของผู้สมัครรับเลือกตั้งมีอิทธิพลให้เกิดการเคลื่อนไหวของตลาดควบคู่ไปกับผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นนั้นดูน่าเชื่อถือ
การกระจายตัวของภาคการเลือกตั้งปี 2016
ในการเลือกตั้งปี 2016 เราสังเกตเห็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการกระจายตัวของภาคส่วนในเดือนพฤศจิกายน
ตามที่แสดงในแผนภูมิข้างต้น ดัชนี S&P Financials พุ่งสูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับ ดัชนี S&P 500 ของตลาดทั่วไปในขณะเดียวกัน ดัชนี S&P Utilities กลับทำผลงานได้ต่ำกว่าตลาดอย่างมาก
ในกรณีนี้ เกิดการกระจายตัวของภาคส่วนระหว่างภาคการเงินและภาคสาธารณูปโภค หลังจากวันเลือกตั้ง ชัยชนะที่น่าตกตะลึงของทรัมป์ทำให้ภาคส่วนทั้งสองแตกต่างกันถึง 17% ทำไมสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น?
เพราะทรัมป์ลงสมัครรับเลือกตั้งโดยยึดหลักการยกเลิกกฎระเบียบทางธุรกิจ โดยเชื่อว่าเป็นหนทางที่ดีที่สุดในการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ เมื่อเขาชนะการเลือกตั้ง นักลงทุนก็แสดงปฏิกิริยาตอบสนองโดยอิงจากความคาดหวังว่าเขาจะผลักดันนโยบายที่จะส่งผลให้การควบคุมและการกำกับดูแลธนาคารและสถาบันการเงินลดน้อยลง
ส่งผลให้ภาคการเงินได้รับประโยชน์อย่างไม่สมส่วนจากความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการยกเลิกกฎระเบียบ ทำให้ภาคการเงินนี้ก้าวล้ำหน้าภาคอื่น ๆ แนวโน้มนี้ยังคงดำเนินต่อไปตลอดทั้งเดือนพฤศจิกายน
การกระจายตัวของภาคส่วนจากการเลือกตั้งปี 2020
สำหรับการเบือกตั้งปี 2020 เราเห็นการกระจายตัวของภาคส่วนอย่างชัดเจนอีกครั้งในเดือนพฤศจิกายน (ซึ่งเป็นวันที่วันลงคะแนนเสียงเกิดขึ้น)
ครั้งนี้ กลุ่มพลังงานเป็นผู้ชนะอย่างชัดเจน โดยพุ่งขึ้นมากกว่า 27% แซงหน้ากลุ่มสาธารณูปโภคซึ่งเป็นกลุ่มที่มีผลงานแย่ที่สุด ในช่วงเวลานี้ ตลาดหุ้นโดยรวมมี แนวโน้มขาขึ้น โดยดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้น 8% ตลอดช่วงสิ้นเดือน
ภาคพลังงาน ประกอบด้วยบริษัทน้ำมันและก๊าซเป็นส่วนใหญ่ สังเกตว่าดัชนีพลังงานมีแนวโน้มลดลงในช่วงไม่กี่วันก่อนการเลือกตั้ง เป็นเพราะไบเดนใช้นโยบายพลังงานสะอาดและหมุนเวียน และชัยชนะของเขาที่ใกล้เข้ามา (ที่สุดท้ายแล้วก็เป็นจริง) ทำให้บรรดานักลงทุนเชื่อว่าบริษัทน้ำมันและก๊าซจะต้องเผชิญกับนโยบายที่ไม่เอื้ออำนวย อย่างไรก็ตาม เมื่อวุฒิสภายังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของพรรครีพับลิกัน วาระด้านพลังงานหมุนเวียนของไบเดนก็เผชิญกับการต่อต้านอย่างหนักและเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
การพัฒนานี้สร้างความมั่นใจให้ตลาดหุ้นพลังงานกลับมามีความเชื่อมั่นอีกครั้ง ซึ่งอธิบายถึงการพุ่งสูงขึ้นของภาคส่วนนี้ได้
ภาคส่วนที่อาจได้รับหรือเสียประโยชน์ในปี 2024
ภาคส่วนที่น่าจะได้รับประโยชน์ | ภาคส่วนที่จะเผชิญกับความท้าทาย | |
หากทรัมป์ชนะ | • น้ำมันและก๊าซ • บริการทางการเงิน • โครงสร้างพื้นฐาน • เงินดอลลาร์สหรัฐ | • อสังหาริมทรัพย์ • พลังงานสะอาด • พันธบัตร |
หากแฮร์ริสชนะ | • พลังงานสะอาด • การดูแลสุขภาพ • สินค้าโภคภัณฑ์ • การส่งออกและการผลิตในประเทศ • พันธบัตร | • น้ำมันและก๊าซ • บริการทางการเงิน • เงินดอลลาร์สหรัฐ |
หากทรัมป์ชนะ ภาคส่วนใดจะได้รับประโยชน์? [2]
นโยบายของทรัมป์อาจสรุปได้ว่า “มีกฎระเบียบน้อยลงและเก็บภาษีน้อยลง” ซึ่งอาจขับเคลื่อนเครื่องจักรเศรษฐกิจหลักของสหรัฐฯ ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่ทรัมป์กลับมาที่ทำเนียบขาวอาจส่งผลดีต่อ ภาคส่วน น้ำมัน และก๊าซ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคำนึงถึงเป้าหมายของเขาในการฟื้นฟูอุตสาหกรรมถ่านหินในขณะที่ขยายความพยายามในการขุดเจาะน้ำมันบนผืนแผ่นดินอเมริกา “เรามี ทองคำเหลว มากกว่าใครๆ” ทรัมป์เคยกล่าวไว้ในเรื่องหน้าปกของ นิตยสาร Businessweek เมื่อไม่นานนี้
หากพิจารณาจากวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งก่อน คาดว่าทรัมป์จะยกเลิกหรือลดการสนับสนุนพลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียนลง อีกทั้งยังเสนอให้เพิ่มความเชื่อมั่นของนักลงทุนในน้ำมันและก๊าซอีกด้วย
ผู้ที่ได้รับประโยชน์อีกรายจากสภาพแวดล้อมการกำกับดูแลธุรกิจที่ผ่อนปรนมากขึ้นซึ่งคาดว่าทรัมป์จะส่งเสริมก็คือภาคการเงิน เช่น ธนาคารและสถาบันการเงินอื่น ๆ นักการธนาคารต่างหวังว่ากฎระเบียบที่เข้มงวดซึ่งกำหนดโดยรัฐบาลของไบเดนจะถูกยกเลิกหรือแม้กระทั่งถูกถอนออก โดยนักวิเคราะห์รายหนึ่งคาดว่า “มาตรฐานเงินทุนจะไม่เข้มงวดมากนัก”
ภาคส่วนโครงสร้างพื้นฐานอาจได้รับประโยชน์จากชัยชนะของทรัมป์ เนื่องจากเขามุ่งมั่นที่จะดำเนินการตามกฎหมายโครงสร้างพื้นฐานที่ลงนามเป็นกฎหมายในปี 2018 ต่อไป ซึ่งอาจส่งผลให้มีความต้องการบริษัทก่อสร้างและผู้เชี่ยวชาญด้านโครงสร้างพื้นฐานสำหรับโครงการถนน ทางรถไฟ สนามบิน และท่าเรือทั่วประเทศเพิ่มมากขึ้น
ในที่สุด นโยบายคุ้มครองการค้าและการเพิ่มอัตราภาษีการค้าของทรัมป์อาจทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับเงินหยวนของจีน และสกุลเงินของรัฐบาลที่ทรัมป์มองว่าเป็นศัตรูกับสหรัฐฯ
ภาคส่วนใดบ้างที่อาจเผชิญกับความท้าทายหากทรัมป์ชนะ?
ชัยชนะของทรัมป์อาจส่งผลกระทบต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากเขาให้คำมั่นว่าจะ “ส่งเสริมการเป็นเจ้าของบ้านผ่านแรงจูงใจทางภาษีและสนับสนุนผู้ซื้อบ้านครั้งแรก” ยกเลิกกฎระเบียบเกี่ยวกับการก่อสร้างบ้านใหม่เพื่อบรรเทาปัญหาขาดแคลน และเปิดพื้นที่ดินของรัฐบาลกลางบางส่วนให้สร้างบ้านขนาดใหญ่ได้ มาตรการเหล่านี้อาจทำให้ราคาบ้านเติบโตช้าลงและลดค่าเช่า ส่งผลให้ผู้ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ได้ผลตอบแทนน้อยลง [3]
พลังงานสะอาดอาจได้รับผลกระทบเช่นกัน เนื่องจากเป็นคู่แข่งของอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ การสนับสนุนนโยบายที่เข้มแข็งต่ออุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซอาจทำให้ความต้องการของนักลงทุนเปลี่ยนจากพลังงานสะอาดไป
เนื่องจากภาษีการค้าทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรจึงอาจเผชิญกับแรงกดดันให้สูงขึ้น ในอดีต อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงมักเชื่อมโยงกับตลาดพันธบัตรที่ย่ำแย่ โดยผลตอบแทนรวมของ ดัชนี Bloomberg US Aggregate Bond เฉลี่ยอยู่ที่ -0.5% ในช่วงเวลาดังกล่าว [4]
ภาคส่วนใดบ้างที่จะได้รับประโยชน์หากแฮร์ริสชนะ?
บางทีอาจเป็นเพราะแฮร์ริสเข้าร่วมการแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีช้าเกินไป จึงไม่มีเวลาชี้แจงมุมมองของเธอเกี่ยวกับภูมิทัศน์เศรษฐกิจในปัจจุบันและแนวทางแก้ไขนโยบายที่เธอมีอยู่ในใจ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในระดับเดียวกับที่ทรัมป์ทำ
อย่างไรก็ตาม เราสามารถคาดการณ์ได้จากคำแถลงในอดีตและสถานะของเธอในฐานะเดโมแครต
ดังนั้น คาดว่าภาคส่วนทั้งสองจะได้รับประโยชน์จากชัยชนะของแฮร์ริส ได้แก่ พลังงานสะอาด รวมไปถึงการดูแลสุขภาพ ทั้งสองภาคส่วนนี้เป็นหัวข้อหลักสำหรับพรรคเดโมแครต และคาดว่าแฮร์ริสจะเป็นผู้นำการปฏิรูปในทั้งสองภาคส่วนจากทำเนียบขาว
การให้ความสำคัญกับการผลิตพลังงานสีเขียวมากขึ้นจะทำให้ความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ลิเธียมและแร่ธาตุหายากที่มีบทบาทสำคัญเพิ่มขึ้นด้วย ดังนั้น ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องอาจปรับตัวดีขึ้นในช่วงที่แฮร์ริสดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี
ในด้านการค้าระหว่างประเทศ คาดว่าการบริหารของแฮร์ริสจะมีท่าทีเข้มงวดน้อยลง ซึ่งจะนำไปสู่การใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น นำไปสู่การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลงจะเปิดโอกาสให้ผลตอบแทนพันธบัตรลดลง ทำให้การลงทุนในพันธบัตรน่าสนใจยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ผู้ผลิตและผู้ส่งออกในประเทศก็มีแนวโน้มที่จะได้รับประโยชน์เช่นกัน เนื่องจากสินค้าที่ผลิตในอเมริกาจะมีราคาถูกกว่าและคู่ค้าต่างประเทศสามารถซื้อได้
ภาคส่วนใดบ้างที่อาจเผชิญกับความท้าทายหากแฮร์ริสชนะ?
ตามที่อธิบายไว้ก่อนหน้านี้ พลังงานสะอาดและน้ำมันและก๊าซเป็นภาคส่วนที่อยู่ตรงข้ามกัน และด้วยนโยบายที่มีแนวโน้มจะสนับสนุนการไหลเข้าสู่อดีตอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซอาจเผชิญกับการชะลอตัวลงหลังจากการเลือกตั้ง
แฮร์ริสมีแนวโน้มที่จะผลักดันกฎระเบียบด้านการธนาคารและการเงินที่ร่างขึ้นภายใต้การบริหารของไบเดนในปัจจุบัน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผลกำไรและราคาหุ้นในภาคบริการทางการเงิน นอกจากนี้ พรรคเดโมแครตอาจใช้โอกาสนี้ในการแนะนำมาตรการใหม่เพื่อควบคุมภาคส่วนนี้ต่อไป
สุดท้ายนี้ การบริหารของแฮร์ริสอาจสนับสนุนนโยบายที่ทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงได้ ดังนั้น นักลงทุนฟอเร็กซ์ควรจับตามองเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด
กลยุทธ์การลงทุนที่ควรพิจารณา
ภาพข้างต้นแสดงถึงผลการดำเนินงานของตลาดสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ในปีถัดจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คุณจะสังเกตเห็นว่าไม่มีรูปแบบหรือแนวโน้มที่ชัดเจนเกี่ยวกับพรรคการเมืองใดที่จะชนะ สิ่งเดียวที่ชัดเจนคือตลาดมักจะตอบสนองในทางบวกเกือบทุกครั้ง
สิ่งนี้เป็นการเตือนใจที่สำคัญว่าอย่ายึดติดกับผลการเลือกตั้งมากเกินไปหรือลงทุนกับผลการดำเนินงานของแต่ละภาคส่วนมากเกินไป
การวิเคราะห์ข้อมูลในอดีตโดย US Bank Asset Management Group พบว่าผลกระทบของผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือการควบคุมของพรรคการเมืองต่อความเคลื่อนไหวของตลาดนั้นแทบไม่มีนัยสำคัญ และผลกระทบใด ๆ ก็มีกจะเกิดขึ้นในเวลาสั้น ๆ เท่านั้น ระดับการเติบโตทางเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อต่างหากที่ทำนายความเคลื่อนไหวของตลาดได้ดีกว่าผลลัพธ์ของการเลือกตั้ง [5]
ดังนั้น ขอแนะนำให้นักลงทุนรักษาระดับการกระจายการลงทุนในพอร์ตการลงทุนให้อยู่ในระดับที่ดี เผื่อรองรับความผันผวนในระยะสั้นที่อาจเกิดขึ้นจากการเลือกตั้ง
โปรดจำไว้ว่าผลกระทบต่อภาคส่วนต่าง ๆ ของผู้ที่ชนะหรือแพ้นั้นมักจะอยู่ได้ไม่นาน ดังนั้น จึงควรระมัดระวังในการซื้อขายและจำกัดความเสี่ยงของคุณ
แน่นอนว่าการวางกลยุทธ์การลงทุนระยะยาวโดยยึดหลักว่าใครจะชนะการเลือกตั้งครั้งต่อไปเพียงอย่างเดียวไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด
สรุป: จับตาดูตลาด แต่ไม่ต้องรีบเร่งตัดสินใจ
เนื่องจากการแข่งขันครั้งนี้ถือว่าสูสีจนเกินไป การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งนี้ถือว่าคาดเดาผลลัพธ์ได้ยากและน่าตื่นเต้น นี่เป็นโอกาสดีที่จะฝึกฝนทักษะการซื้อขายของคุณโดยการศึกษาพัฒนาการล่าสุดและสร้างทฤษฎีของคุณเองว่าตลาดจะดำเนินไปในทิศทางใด
ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับหุ้นสหรัฐฯ และตลาดชั้นนำอื่น ๆ ของโลกได้ที่ Vantage Academy แหล่งความรู้ภายในของเราที่เต็มไปด้วยคำแนะนำ บทความ และหลักสูตรออนไลน์ที่สร้างขึ้นเพื่อช่วยให้คุณเรียนรู้ความซับซ้อนของการซื้อขายและการลงทุน สัมผัสกับแพลตฟอร์มการซื้อขายที่ได้รับรางวัลของเราและซื้อขายหุ้น พันธบัตร สินค้าโภคภัณฑ์ และอื่น ๆ ทั่วโลก สมัคร บัญชีจริงกับ Vantage วันนี้!
อ้างอิง:
- “Elections and Equities: The Impact of the US Election on Sector Investing – State Street Global Advisors”. https://www.ssga.com/sg/en/institutional/insights/impact-of-the-us-election-on-sector-investing. Accessed 26 Sept 2024.
- “Watch for the Trump Trade in Banking and Big Oil – Bloomberg”. https://www.bloomberg.com/news/newsletters/2024-07-17/wall-street-s-trump-trade-focuses-on-big-oil-banking-dollar-debt. Accessed 26 Sept 2024.
- “Where Do Trump And Harris Stand On Housing Policy? – ABC News”. https://abcnews.go.com/Politics/trump-harris-stand-housing-policy/story?id=113618872. Accessed 26 Sept 2024.
- “U.S. 2024 Elections: Different Asset Classes in Focus – Century Financial”. https://www.century.ae/en/blog/us-2024-elections-different-asset-classes-in-focus/. Accessed 26 Sept 2024.
- “How Presidential Elections Affect The Stock Market – Forbes”. https://www.forbes.com/sites/us-bank-wealth-management/2024/09/18/how-presidential-elections-affect-the-stock-market/. Accessed 26 Sept 2024.